ปรทัตตูปชีวีเปรต

เนื่องจากเปรตจำพวกนี้มีเศษอกุศลอันเบาบาง จึงทำให้มีจิตที่ระงับความทุกข์โศกได้ในบางขณะ แต่สิ่งสำคัญเปรตจำพวกนี้จัดเป็นพวกที่ต้องรอรับบุญกุศลที่หมู่ญาติจะอุทิศไปให้เท่านั้นจึงจะเป็นอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมสัตว์ดิรัจฉาน เช่น วัวและควายก็มีอาหารอยู่ ก็คือหญ้าและใบไม้ แต่อาหารของปรทัตตูปชีวีเปรตไม่มี จึงจะต้องรอส่วนบุญจากญาติมิตรจะอุทิศไปให้ ทั้งนี้เพราะในเปรตวิสัยไม่มีการทำสวนทำนาจึงไม่มีข้าวปลาอาหาร ฉะนั้นอาหารของเปรตนี้ก็คือส่วนบุญที่ญาติจะอุทิศไปให้เท่านั้น
เมื่อญาติอุทิศผลบุญให้เปรตจำพวกนี้ก็จะรับรู้และอนุโมทนาบุญที่ญาติอุทิศให้แล้ว เมื่อนั้นก็จะทำให้ความหิวกระหาย ความอดอยาก ความทรมานของเปรตนั้นได้บรรเทาเบาบางหรือหายสิ้นไป

แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ยังไม่มีญาติระลึกถึงอุทิศผลบุญไปให้ เปรตจำพวกนี้ก็จะเร่ร่อนแสวงหาผลบุญจากญาติคนต่อๆ ไป ถ้ายังไม่ได้ก็จะเวียนกลับมารอใหม่ วนเวียนอยู่ใกล้ๆ ญาติด้วยความหมายใจว่าเมื่อใดที่ญาติทำบุญแล้วคงจะอุทิศให้บ้าง

ทว่า เมื่อญาติทำบุญแล้ว แต่ว่ามิได้อุทิศผลบุญให้ เปรตพวกนี้ก็จะวนเวียนไปมาด้วยความผิดหวัง หิวกระหาย กระวนกระวายโหยหวน บางทีเป็นลมล้มหมดสติไป แต่พอมีลมพัดมากระทบกายก็ฟื้นคืนสติมาได้แล้วคิดปลอบใจตนเองว่า วันนี้ญาติระลึกไม่ได้ แต่พรุ่งนี้คงจะระลึกได้บ้าง โดยจะเฝ้ารออย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีญาติทำบุญอุทิศให้
เกี่ยวกับปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ มีเปรตผู้เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นตัวอย่าง ซึ่งเปรตที่เป็นญาติพระเจ้าพิมพิสารนั้น วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าพิมพิสารบรรทมอยู่ได้ไปส่งเสียงร้องโหยหวนน่ากลัวขึ้นที่พระราชวัง จนทำให้พระองค์ทรงเกิดความกลัวและไม่สบายพระทัยมาก ถึงกับในเช้าวันต่อมาต้องรีบเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อต้องการทราบที่มาและเจตนาของเสียงนั้น
ครั้นทราบว่าเสียงโหยหวนน่ากลัวนั้นเป็นเสียงของเปรตที่เป็นญาติของพระองค์ในอดีตที่ต้องการมาเรียกร้องขอให้พระองค์ได้ทำบุญอุทิศไปให้ เพราะตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนมากจึงเตรียมการทำบุญไปให้

ฝ่ายเปรตพวกนั้นได้รับผลบุญที่พระเจ้าพิมพิสารทรงอุทิศให้ ก็แสดงความชื่นชมโสมนัสยินดี ดุจดังคนเดินทางมากลางทะเลทรายอดอยากและกระหายน้ำ ครั้นเดินมาเจอแหล่งน้ำและอาหารก็ลิงโลดยินดีเปล่งสาธุการ
และทันทีที่พระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกสระโบกขรณีที่สะพรั่งด้วยดอกปทุม ก็บังเกิดแก่บรรดาเปรตเหล่านั้นให้ได้ดื่มกินชำระล้างร่างกาย บรรเทาความกระหาย หมดความกระวนกระวายไปโดยพลัน อีกทั้งยังมีผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทอง

ร่างกายที่พิกลพิการก็กลับคืนดังคนปกติที่งามสง่า อีกทั้งได้รับความซึมซาบจากอาหารทิพย์ก็ทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมกลับมามีน้ำนวลอ้วนพี มีอิ่มเอิบปรีดากันทั่วถ้วน
ทั้งนี้ หากจะย้อนอดีตเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร ต้องย้อนไปในสมัยของพระปุสสพุทธเจ้า ซึ่งได้ทรงรับอาราธนาจากพระราชาผู้ครองนครราชคฤห์ในสมัยนั้นให้ประทับอยู่ในพระราชอุทยานพร้อมภิกษุสงฆ์จำนวน 500 รูป เพื่อจะได้ถวายภัตตาหาร

เหตุการณ์ได้ดำเนินอยู่เช่นนี้เป็นเวลาหลายวัน จนพระราชโอรสทั้งสามของพระองค์จึงได้ทูลขอพระราชานุญาตพระบิดา เพื่อที่จะมีโอกาสถวายทานแด่พระปุสสพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ด้วยพระองค์บ้าง ซึ่งก็ได้รับพระราชานุญาต

พระราชโอรสทั้งสามพระองค์นั้นจึงได้มอบหมายให้ขุนคลัง (ซึ่งก็คือพระเจ้าพิมพิสารในชาติปัจจุบัน) เป็นผู้จัดเตรียมหาอาหารหวานคาวมาประกอบในพิธีบุญ ขุนคลังจึงไปชวนบรรดาญาติๆ ของตนให้มาช่วยทำอาหารดังกล่าวอย่างเต็มที่
ตอนแรกๆ ญาติของขุนคลังยังปฏิบัติตนดีอยู่ แต่พอเวลาล่วงเลยไปก็เกิดความหิว ความอยากกินขึ้นมา ยิ่งเห็นอาหารที่ทำไว้น่ารับประทานด้วยจึงแอบกินอาหารก่อนพระ บางคนก็ขโมยอาหารที่ทำไว้เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ไปเลี้ยงลูกเมียและญาติของตนที่บ้าน

บรรดาญาติของขุนคลังแอบทำผิดอย่างนี้|เป็นอาจิณ โดยไม่คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นบาปอันหนักหน่วง

และครั้นพระราชโอรสทั้งสาม ขุนคลัง พร้อมญาติของขุนคลังตายลง พระราชโอรสทั้งสามกับขุนคลังได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ ส่วนบรรดาญาติๆ ของขุนคลังที่แอบขโมยกินอาหารที่เตรียมไว้สำหรับพระสงฆ์ต้องไปบังเกิดในนรก ครั้นพ้นจากนรกแล้วก็ได้ไปบังเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต ที่ต้องมาคอยรับผลบุญที่ญาติจะอุทิศไปให้เพียงอย่างเดียว

ถ้าญาติดี เช่นพระเจ้าพิมพิสารก็ดีไป แต่ถ้าเจอญาติใจดำก็เอวังด้วยประการฉะนี้